“ดำนอกสว่างใน” มันเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ? ภาค2
ตอน “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ”
เนื่องจากบทความ “ดำนอกสว่างใน” (ภาค 1) ได้รับการพูดถึง และตอบรับเป็นอย่างดี ผู้เขียนจึงใคร่ขออธิบายประเด็นต่างๆให้ชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจึงเกิดเป็น “ดำนอกสว่างใน” ภาค 2 ขึ้น ในภาคแรกได้สรุปไว้ว่า ความน่าจะเป็นที่ “ดำนอกสว่างใน” จะเป็นจริงก็มีเพียง 50% เท่านั้นและไม่ขึ้นกับชนิดของฟิล์มติดรถยนต์แต่ขึ้นกับปริมาณของแสงสว่าง ณ เวลาและสถานที่นั้น เหตุผลเพราะเราสามารถ ทำให้เกิดกรณีตรงข้ามคือ “ไม่สว่างใน” ถ้าแสงนอกรถมีปริมาณน้อย หรือเกิดกรณี “ไม่ดำนอก” ถ้ามีการเปิดไฟในรถตอนกลางคืน และโอกาสเกิดกรณีตรงข้ามดังกล่าวมีเท่าๆกับโอกาส เกิดกรณี “ดำนอกสว่างใน” แบบเท่าๆกัน
ท่านทั้งหลายคงเคยได้เห็นการโฆษณาฟิล์มกรองแสงด้วยคำว่า “ดำนอกสว่างใน” พร้อมกับทำรีวิวด้วยภาพนิ่งหรือวิดีโอมาบ้างแล้ว และรีวิวเหล่านั้น ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงคำว่า “สว่างใน” ได้อย่างจริงจังถึงแม้ว่าฟิล์มกรองแสงนั้นจะมีความเข้มสูงมาก ในขณะที่สภาพแสงภายนอกมีน้อยมากก็ตาม ผมจึงอยากให้ทุกท่านไตร่ตรองและเชื่ออย่าง มีเหตุผลเพราะหลักการถ่ายภาพหรือหลักการทำงานของกล้องมีปัจจัยต่างๆหลายข้อ ส่งผลต่อความสว่างและความชัดเจนของภาพ เช่น ขนาดของรูรับแสง ระยะเวลาของการเปิดชัตเตอร์ ขนาดของเซนเซอร์ภาพ และซอฟต์แวร์(Ai) ที่ช่วยปรับคุณภาพของภาพ เป็นต้น
![](/assets/img/df2/camera.png)
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำอย่างรวดเร็ว เพียงคุณใช้กล้องที่ติดมากับมือถือ กล้องก็สามารถมองเห็นวัตถุได้ดี กว่าดวงตาของเราอีกครับ ถ้าไม่เชื่อก็ลองทดสอบกล้องในมือของตนเองดูได้ครับเช่น ลองปรับให้เป็นโหมดกลางคืน หรือลองเล่นโหมดโปร ซึ่งเราสามารถเพิ่มขนาดรูรับแสง และเพิ่มเวลา การเปิดชัตเตอร์รับแสง เราก็จะได้รับแสงเข้าเซนเซอร์รับภาพมากขึ้น ภาพที่ได้ก็จะสว่างและชัดเจนขึ้น นอกจากนั้นซอฟต์แวร์ Ai ยังช่วยทำให้ภาพที่เบลอกลับมาชัดได้อีกด้วย และยิ่งไป กว่านั้นสภาพแสงในแต่ละพื้นที่ที่ทดสอบก็มีค่าไม่เท่ากัน หรือความเข้มของฟิล์มของรถแต่ละคันที่นำมาทดสอบมี %ค่าแสงผ่านหรือ %ความเข้มที่แท้จริงเท่าไรก็ไม่แน่ชัด รถบางคันบอกว่า ติดฟิล์มเข้ม 60% จริงๆอาจจะวัดได้ 80% (ถ้าผู้สร้างรีวิวต้องการให้ภาพดูดำเข้ม) หรือจริงๆอาจวัดได้ 40% (ถ้าผู้สร้างรีวิวต้องการให้ภาพออกมาดูว่าสว่างใส) แล้วอย่างนี้รีวิวที่ท่านดูอยู่จะ เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ถึงตอนนี้คงต้องเชื่อสุภาษิตไทยที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” และ “สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ” แล้วครับ ดังนั้นในบทความภาค 2 นี้ เราจะมาพิสูจน์คำว่า “ดำนอกสว่างใน” กันอีกครั้งให้เห็นชัดเจนด้วยฝีมือของตัวท่านเอง
![](/assets/img/df2/ai1.png)
![](/assets/img/df2/ai2.png)
มาทำความรู้จักกับพระเอกของเรา “ลักซ์มิเตอร์”
-
ลักซ์มิเตอร์คือชื่อที่เรียกตามหน่วยของการวัดปริมาณแสง
(1 ลักซ์ มีค่าเท่ากับ 1 ลูเมน/ตารางเมตร)
![](/assets/img/df2/lux1.png)
รูปตัวอย่าง Lux meter หรือ Light meter
พระเอกคนนี้จะช่วยทำให้เราทราบค่าตัวเลขที่บอกถึงความสว่างในแต่ละจุดที่เราสนใจเช่น ตำแหน่งนอกรถที่สภาวะแสงต่างๆ หรือตำแหน่งในรถที่สภาวะแสงต่างๆ หรือค่าความสว่างที่ตัวเราเองรู้สึกว่าเริ่มไม่ชัดเจน และที่สำคัญที่สุดคือพระเอกคนนี้อยู่ใกล้ตัวเราอยู่แล้วครับ ไม่ต้องไปหาไกลที่ไหนครับ เราสามารถใช้โทรศัพท์มือถือของเราเป็นทำเป็น Lux meter ได้ทันทีด้วยการลง App ในมือถือครับ Appที่ว่ามีหลายตัวให้เลือกทั้งค่าย Android และ iOS ลองค้นหาด้วยคำว่า Lux meter หรือคำว่า Light meter ก็ได้ครับ สำหรับผมเลือกใช้ตัวนี้ครับ ง่ายดี ไม่ซับซ้อน
![](/assets/img/df2/app.png)
ตัวอย่าง App Lux meter ในมือถือ Android
ทบทวนค่าความสว่าง สร้างความคุ้นเคย
ก่อนอื่นผมขอทบทวนค่าความสว่าง ณ สภาวะแสงต่างๆจากภาคที่แล้วให้ผู้อ่านได้ทราบอีกครั้งดังตารางนี้ และท่านสามารถทดลองวัดค่าความสว่างด้วยแอปนี้ในสภาวะต่างๆ ตามตารางเพื่อสร้างความคุ้นเคยในการใช้แอป และเรียนรู้ค่าความสว่างในพื้นที่ต่างๆ
ตารางความสว่างของพื้นที่ต่างๆ ในสภาวะต่างๆ
สภาวะของพื้นที่ต่างๆ | ค่าความสว่าง (Lux) | |
---|---|---|
กลางวัน | แสงอาทิตย์ตอนแดดจัด | 60,000 - 110,000 |
แสงแดดอ่อน | 10,000 - 20,000 | |
วันเมฆครึ้ม | 1,000 - 2,000 | |
วันฝนตกท้องฟ้ามืด | 100 - 500 | |
เย็นพลบค่ำ | 10 - 50 | |
กลางคืน | หัวค่ำ | 1 - 2 |
คืนพระจันทร์เต็มดวง | 0.1 | |
ไม่มีพระจันทร์ | 0.001 | |
แสงสว่างไฟถนน | 10 - 22 | |
ในอาคาร | ห้องอ่านหนังสือ และออฟฟิศ | 500 - 1.500 |
ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องอาหาร | 150 - 300 | |
ทางเดินในอาคาร | 75 - 200 |
หาตำแหน่งเซนเซอร์ที่ใช้วัดแสง
อย่างไรก็ตามเราจำเป็นต้องตรวจดูว่าเซนเซอร์วัดแสงของมือถือของท่านว่าอยู่ตรงไหนเพื่อให้มั่นใจว่าเวลาใช้งาน แสงจะเข้ามาที่เซนเซอร์ ได้อย่างถูกต้องและไม่มีอะไรไปปิดบัง โดยทั่วไปเซนเซอร์วัดแสงของมือถือที่ทำงานร่วมกับแอปนี้มักจะอยู่ใกล้กับลำโพงที่เราใช้แนบหูเวลายกหูคุยโทรศัพท์อาจจะอยู่ด้านซ้ายหรือขวาของลำโพงก็ได้ เรา สามารถทดสอบหาตำแหน่งของเซนเซอร์วัดแสงได้ง่ายๆ ด้วยการใช้นิ้วบังที่ตำแหน่งเซนเซอร์ ถ้าบังถูกตำแหน่งค่าของความสว่างจะต้องลดลงเหลือศูนย์ดังรูป
![](/assets/img/df2/mobile.png)
ภาพตำแหน่ง Light Sensor
เซนเซอร์วัดแสงของมือถือแต่ละยี่ห้อหรือแต่ละรุ่นจะมีความไวแสงไม่เท่ากัน แต่ความแตกต่างในเรื่องนี้ไม่มีผลต่อการทดลองของเราเพราะเราใช้เครื่องมือวัดในเชิงเปรียบเทียบ (Comparative value) เป็นอัตราส่วน และเราไม่ได้วัดเป็นค่าเดี่ยว (Absolute value) ดังนั้นค่าความผิดพลาดของความสว่างที่วัดได้จึงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ถึงเวลา “ลงมือทำ” ด้วยตนเอง
การลงมือทำด้วยตัวของท่านเองในครั้งนี้ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ท่านรู้จักปริมาณของแสงหรือความสว่างซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เรามองเห็นวัตถุ และได้รู้จักวิธีวัดค่าความเข้มของฟิล์มด้วยตัวท่านเอง ท่านจะได้ทดลองวัดค่าแสงผ่านของกระจกติดฟิล์มของรถท่านและทำให้รู้ว่ากระจกติดฟิล์มของท่านกรองแสงหรือตัดแสงที่ช่วยในการมองเห็น (Visible Light) ออกไปกี่เปอร์เซนต์ เป็นการพิสูจน์ค่าความเข้มของฟิล์ม 60% หรือ 80% ของรถท่านที่ได้ยินมานั้นว่ามันถูกต้องและเป็นจริงหรือไม่ นอกจากนั้นท่านจะได้ทดลองวัดค่าความสว่างที่ทำให้เราเห็นวัตถุนอกรถในสภาวะแสง ต่างๆ (พิสูจน์คำว่า “สว่างใน”) และได้ทดลองวัดค่าความสว่างที่ทำให้เรามองไม่เห็นวัตถุในรถ(พิสูจน์คำว่า “ดำนอก”) เมื่อท่านผ่านการลงมือทดลองด้วยตัวท่านเองแล้ว ท่านจะเรียนรู้เองว่า “ดำนอกสว่างใน” มัน เป็นจริงได้กรณีใดบ้างแล้วพระเอก “ลักซ์มิเตอร์” จะช่วยเราได้อย่างไร? มาทดลองตามขั้นตอนนี้กันเลยครับ
1. ใช้พระเอกของเราวัดค่าแสงผ่านของกระจก+ฟิล์ม ของบานหน้า หรือบานข้าง หรือบานที่คุณสนใจ ด้วยวิธีการดังนี้
กรณีวัดบานหน้า
- วางมือถือที่เปิดแอปลักซ์มิเตอร์ไว้บนกระจกหน้าดังรูป แล้วบันทึกค่าความสว่างที่ได้ลงในตาราง
- เข้าไปในรถ วางมือถือในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งที่วางนอกรถดังรูป แล้วบันทึกค่าความสว่างที่ได้
![](/assets/img/df2/car11.png)
รูปขณะวัดค่าแสงก่อนผ่านฟิล์มบานหน้า
![](/assets/img/df2/car12.png)
รูปขณะวัดค่าแสงหลังผ่านฟิล์มบานหน้า
กรณีวัดบานข้าง
- วางมือถือที่เปิดแอปลักซ์มิเตอร์ไว้บนกระจกข้างดังรูป แล้วบันทึกค่าความสว่างที่ได้ลงในตาราง
- เข้าไปในรถ วางมือถือในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งที่วางนอกรถดังรูป แล้วบันทึกค่าความสว่างที่ได้
![](/assets/img/df2/car21.png)
รูปขณะวัดค่าแสงก่อนผ่านฟิล์มบานข้าง
![](/assets/img/df2/car22.png)
รูปขณะวัดค่าแสงหลังผ่านฟิล์มบานข้าง
2. คำนวณค่า%ความเข้มของแต่ละบาน แล้วบันทึกค่าลงในตาราง
บานหน้า | บานข้าง (หน้า) | บานข้าง (หลัง) | บานหลัง | |
---|---|---|---|---|
ความสว่าง (ลักซ์) นอกรถ | 17,206 | 1,617 | 871 | 6,762 |
ความสว่าง (ลักซ์) ในรถ | 5,059 | 223 | 140 | 1,004 |
%ค่าแสงผ่าน (VLT) | 29.40 | 13.79 | 16.07 | 14.85 |
%ค่าความเข้ม | 70.60 | 86.21 | 83.93 | 85.15 |
ตารางบันทึกค่าความสว่าง
*สูตรคำนวนหา %ค่าแสงผ่าน (VLT) = (ความสว่างในรถ / ความสว่างนอกรถ) * 100
*สูตรคำนวนหา %ค่าความเข้ม = 100 - %ค่าแสงผ่าน (VLT)
ข้อควรระวัง: ควรทดสอบในที่ที่มีความสว่างอย่างน้อย 100 lux เพื่อให้ค่าความผิดพลาดน้อยลง
- วิธีอ่านค่าควรกดปุ่ม Hold เพื่อบันทึกค่าไว้ก่อน แล้วจึงอ่านค่า โดยที่ขณะกดปุ่ม Hold ไม่ควรก้มมองที่มิเตอร์แบบใกล้มากเกินไปเพราะศีรษะของเราอาจจะบังแสงทำให้ปริมาณแสงลดลง
- ค่าความเข้มจะมีค่าตรงข้ามกับค่าแสงผ่าน ตัวอย่างเช่น ถ้าค่าแสงผ่านเท่ากับ 30% ค่าความเข้มจะเท่ากับ 70%
วัดความเข้มของฟิล์มด้วยแอปแม่นแค่ไหน?
จากตารางบันทึกค่าความสว่างที่ได้ เราจะรู้ความเข้มของฟิล์มของรถเราทุกบานแล้วครับ ซึ่งเป็นความเข้มของฟิล์มที่ รวมกระจกเรียบร้อยแล้ว และเพื่อตรวจสอบว่าค่าความเข้มที่วัดได้ด้วยแอปมือถือของเราแม่นยำแค่ไหน เราจึงนำเครื่องมือวัดค่าความเข้มของฟิล์มทำการวัดกระจกแต่ละบานแล้วนำมาเปรียบ เทียบกันดังตารางข้างล่าง
บานหน้า | บานข้าง (หน้า) | บานข้าง (หลัง) | บานหลัง | ||
---|---|---|---|---|---|
วัดด้วยแอปมือถือ | %ค่าแสงผ่าน (VLT) | 29.40 | 13.79 | 16.07 | 14.85 |
%ค่าความเข้ม | 70.60 | 86.21 | 83.93 | 85.15 | |
วัดด้วยเครื่องวัดฟิล์ม | %ค่าแสงผ่าน (VLT) | 31 | 16 | 15 | 16 |
%ค่าความเข้ม | 69 | 84 | 85 | 84 |
ตัวอย่างการบันทึกค่าความสว่าง
![](/assets/img/df2/car31.png)
![](/assets/img/df2/car32.png)
รูปขณะวัดค่าแสงผ่านฟิล์มบานหน้าและบานข้างด้วยเครื่องมือวัดฟิล์ม
จากค่าตัวอย่างที่วัดได้ในตารางเมื่อเทียบกับค่าแสงผ่านหรือค่าความเข้มที่วัดด้วยเครื่องมือวัด ฟิล์มจะเห็นว่ามีค่าใกล้เคียงกันผิดพลาดไม่เกิน 3% แสดงว่าเราสามารถวัดค่าความเข้มของฟิล์มของกระจกรถบานที่เราสงสัยได้อย่างแม่นยำพอสมควร
“สว่างในหรือไม่” ท่านจะเป็นผู้ตอบเอง
ถึงตอนนี้เราจะรู้แล้วว่ากระจกแต่ละบานของเราลดทอนแสงที่ใช้เพื่อการมองเห็น(Visible Light) ลงไปกี่เปอร์เซนต์ ทำให้เราสามารถพิจารณาด้วยตนเองได้แล้วว่าคำว่า “สว่างในเป็นจริงได้แค่ไหน” ในสภาวะที่แสงมีค่าแตกต่างกันออกไป บวกความสามารถของสายตาซึ่งแตกต่างกันในแต่ละคน วิธีการวัดค่าแสงของพื้นที่ต่างๆมีหลักการง่ายๆคือ เราต้องหันเซนเซอร์ไปในทิศทางเดียวกับทิศทางของสายตาที่มอง โดยคิดเสมือนว่าเซนเซอร์วัดแสงก็คือดวงตาของเรา เช่นถ้า เรามองไปที่วัตถุหน้ารถ เซนเซอร์จะต้องหันไปที่วัตถุชิ้นนั้น หรือถ้าเรามองผ่านกระจกมองข้างเพื่อมองขอบถนน เซนเซอร์จะต้องหันไปที่ขอบถนนเช่นเดียวกัน และควรปรับความ สว่างของหน้าจอมือถือให้ต่ำเพียงพอที่จะอ่านค่าได้เพื่อไม่ให้แสงของหน้าจอที่เพิ่มขึ้นอัตโนมัติเข้ามารบกวนเซนเซอร์วัดแสง
ตัวอย่างเช่นในกรณีกลางคืนบนถนนที่มีไฟ ปริมาณแสงสว่างอาจมีค่าเพียงแค่ 15 ลักซ์ และเมื่อแสงนี้ต้องเดินทางผ่านฟิล์มของเราและ ถูกลดทอนไปอีก 85% เหลือเพียง 15 % นั่นคือปริมาณแสงสว่างจะคงเหลือ = 15ลักซ์ x 15% = 2.25 ลักซ์ เดินทางผ่านกระจกรถเข้าสู่ดวงตาของเรา เราจะต้องตอบตัวเอง ว่าที่ความสว่าง 2.25 ลักซ์เรามองเห็นวัตถุนั้นชัดหรือไม่ ผมไม่อยากถ่ายรูปให้ดูว่าความสว่าง 2.25 ลักซ์ ภาพที่ได้จะเป็นอย่างไร เพราะความชัดเจนของภาพที่ได้มันเกิดจาก เซนเซอร์รับแสงของกล้องซึ่งไม่ใช่ดวงตาของเรา (ดังที่ได้อธิบายเรื่องหลักการถ่ายภาพไปแล้วตอนต้นบทความ) ผมจึงอยากให้ผู้อ่านได้ทดลองด้วยตนเอง ซึ่งผู้อ่านสามารถทด ลองวัดแสงของพื้นที่ต่างๆ เพิ่มเติมอย่างเช่นด้านหลังรถ ด้านข้างรถในที่ร่มเวลามองกระจกข้างขณะถอยจอด และตอบคำถามว่าเมื่อท่านมองผ่านฟิล์มของรถท่าน “มันจะสว่างใน จริงหรือไม่” โปรดตอบคำถามนี้ด้วยตนเอง ดังความตั้งใจที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ”
เขียนโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อมร ตันวรรณรักษ์